XP-55 Ascender เครื่องบินรบที่ล้มเหลว

 XP-55 Ascender เครื่องบินรบที่ล้มเหลว

ท่ามกลางเปลวเพลิงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุคที่ฟากฟ้าคือสมรภูมิอันดุเดือดของการแข่งขันทางเทคโนโลยี ชื่อของเครื่องบินรบอย่าง Spitfire, Mustang และ Zero ได้กลายเป็นตำนาน แต่ไกลออกไปจากแนวหน้า ในน่านฟ้าทดสอบของสหรัฐอเมริกา มีอากาศยานลำหนึ่งกำลังทะยานขึ้นสู่ฟ้าด้วยรูปลักษณ์ที่ท้าทายทุกกฎเกณฑ์ มันดูราวกับภาพลวงตา หรือบางทีอาจเป็นยานจากต่างดาวที่ประกอบผิดด้าน เครื่องบินลำนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Curtiss-Wright XP-55 Ascender

เครื่องบินรบที่มีปีกเล็กอยู่ด้านหน้า ปีกหลักอยู่ด้านหลัง และเครื่องยนต์ที่ทำหน้าที่ "ผลัก" แทนที่จะ "ดึง" ลำตัวไปข้างหน้า มันคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับทุกสิ่งที่เคยมีมาในยุคนั้น คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น: เหตุใดกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งกำลังต้องการทรัพยากรทุกอย่างเพื่อทำสงคราม จึงตัดสินใจลงทุนในโครงการที่ดูแปลกประหลาดและเสี่ยงภัยถึงเพียงนี้? พวกเขากำลังพยายามแก้ปัญหาอะไรที่เครื่องบินรบชั้นยอดในขณะนั้นทำไม่ได้?

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ เรื่องจริงที่น่าประหลาดใจที่สุดเกี่ยวกับ Curtiss-Wright XP-55 Ascender เรื่องราวของความทะเยอทะยานทางวิศวกรรม ความล้มเหลวที่น่าเศร้า และบทเรียนเงียบๆ ที่เครื่องบินประหลาดลำนี้ได้ทิ้งไว้ให้แก่วงการบิน

1. ประเด็นน่าสนใจที่ มันถูกออกแบบให้ "บินถอยหลัง" อย่างตั้งใจ
การออกแบบที่กลับตาลปัตรนี้คือความจงใจ ไม่ใช่ความผิดพลาด
รูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดของ XP-55 ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มันคือผลลัพธ์โดยตรงจากข้อเสนอ R-40C ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในปี 1939 ซึ่งเป็นเอกสารที่เปรียบเสมือน "คำเชิญชวนให้คิดนอกรีต" กองทัพกังวลว่าจะตามหลังคู่แข่งในยุโรปจนถึงขั้นเปิดกว้างรับ "แนวคิดบ้าๆ ที่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก" เพื่อสร้างเครื่องบินรบที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าอย่างก้าวกระโดด บริษัท Curtiss-Wright ตอบรับคำท้านี้ด้วยแนวคิดที่ปฏิวัติวงการอย่างสิ้นเชิง
แนวคิดหลักคือการย้ายเครื่องยนต์ไปไว้ด้านหลังเพื่อ "ผลักลำตัวเครื่องบินไปข้างหน้าด้วยพลังอันเกรี้ยวกราด" (Pusher design) และติดตั้งปีกเล็กสำหรับควบคุม (Canard) ไว้ด้านหน้า 

การออกแบบนี้คาดว่าจะให้ข้อดีหลายประการ:
• ทัศนวิสัยของนักบินที่ดีขึ้นอย่างมหาศาล: เมื่อไม่มีเครื่องยนต์และใบพัดขนาดใหญ่มาบดบังด้านหน้า นักบินจะมีมุมมองที่เปิดกว้างราวกับนั่งอยู่บนปลายหอก ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบชี้เป็นชี้ตายในการรบทางอากาศ
• การลดแรงต้าน: รูปทรงส่วนหัวที่เพรียวลมจะช่วยลดแรงต้านอากาศ และมีโอกาสทำความเร็วได้สูงขึ้น
• การติดตั้งอาวุธที่มีประสิทธิภาพ: สามารถติดตั้งปืนกลหนักขนาด .50 นิ้ว ไว้ที่ส่วนหัวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการยิงผ่านใบพัด

อย่างไรก็ตาม รูปแบบเครื่องยนต์ที่ติดตั้งด้านหลังนี้เองที่ทำให้นักบินและทีมช่างภาคพื้นดินตั้งชื่อเล่นที่ทั้งเฉียบคมและไม่น่าพิสมัยให้ว่า "Ass-ender" ซึ่งเป็นการจิกกัดชื่อทางการ "Ascender" ได้อย่างเจ็บแสบ

2. ประเด็นน่าสนใจที่ มีระบบหนีตายที่ล้ำยุค (และน่าสะพรึงกลัว) ในตัว
นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยที่สะท้อนถึงอันตรายในตัวเอง
วิศวกรของ Curtiss ตระหนักดีถึงอันตรายที่แฝงอยู่ในการออกแบบเครื่องยนต์ไว้ด้านหลัง นั่นคือหากนักบินต้องดีดตัวออกจากเครื่องในภาวะฉุกเฉิน เขามีความเสี่ยงสูงที่จะถูกใบพัดที่กำลังหมุนอยู่ด้านหลังสับเป็นชิ้นๆ เพื่อแก้ปัญหานี้ พวกเขาได้สร้างนวัตกรรมที่ล้ำสมัยสำหรับยุคนั้นขึ้นมา นั่นคือ "คันโยกสลัดใบพัดทิ้ง" (propeller jettison lever)
กลไกนี้ถูกออกแบบมาให้นักบินสามารถสลัดชุดใบพัดและเพลาทั้งหมดทิ้งไปจากลำตัวเครื่องบินได้ เพื่อเปิดเส้นทางหนีที่ปลอดภัย การมีอยู่ของระบบนี้ แม้จะดูชาญฉลาด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า XP-55 มีอันตรายถึงชีวิตแฝงอยู่ในการออกแบบโดยเนื้อแท้ ความรู้สึกของวิศวกรต่อการออกแบบที่น่าหวาดเสียวนี้นั้นสะท้อนออกมาผ่านคำพูดของ Chief Master Sergeant Leonard M. Christensen:
"ผมดีใจที่เป็นวิศวกร ไม่ใช่นักบิน ที่นั่งนักบินอยู่ด้านหน้าสุด และด้านหลังก็คือใบพัดนั่น เราได้รับแจ้งว่ามันสามารถสลัดทิ้งได้ในกรณีฉุกเฉิน แต่ถ้ามันไม่ยอมทำงานล่ะ? ผมแทบจะเอื้อมมือไปแตะใบพัดได้อยู่แล้ว"

3. ประเด็นน่าสนใจที่ ข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กลับกลายเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงถึงชีวิต
ความคล่องตัวที่กลายเป็นหายนะในพริบตา
บนกระดาษ การออกแบบของ XP-55 ให้ความหวังถึงความคล่องตัวที่เหนือกว่า แต่ในความเป็นจริง ข้อได้เปรียบนี้กลับมาพร้อมกับจุดอ่อนร้ายแรง มันมีความเสถียรและตอบสนองได้ดีที่ความเร็วสูง แต่กลับมีปัญหา "การทรงตัวที่ไม่เสถียรอย่างรุนแรงที่ความเร็วต่ำ"
สิ่งที่น่าขันที่สุดคือ ปีกเล็กด้านหน้า (Canard) ถูกออกแบบมาให้เป็นคุณสมบัติด้านความปลอดภัย โดยตามทฤษฎีแล้ว ปีกเล็กนี้จะ Stall (สูญเสียแรงยก) ก่อนปีกหลัก ทำให้หัวเครื่องบินทิ่มลงและป้องกันการสูญเสียการควบคุมอย่างรุนแรง แต่ในความเป็นจริง คุณสมบัตินี้กลับทำงานในลักษณะที่คาดเดาไม่ได้และรุนแรงอย่างยิ่ง อาการ Stall ของ XP-55 เกิดขึ้นอย่าง "ฉับพลันและรุนแรง" โดยเครื่องบินมีแนวโน้มที่จะพลิกคว่ำและร่วงหล่นแบบควงสว่านกลับหัว (inverted spin) ซึ่งเป็นท่าที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นักบินจะกู้คืนการควบคุมได้
หายนะได้เกิดขึ้นจริงในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1943 ขณะที่นักบินทดสอบ เจ. ฮาร์วีย์ เกรย์ กำลังนำเครื่องต้นแบบลำแรก (S/N 42-78845) ทำการทดสอบอาการ Stall ทันใดนั้นเครื่องบินก็พลิกคว่ำและดิ่งลงสู่พื้นอย่างไร้การควบคุม "แรงจีลบ (Negative G forces) กดร่างเขาติดอยู่กับเพดานห้องนักบิน ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปถึงคันโยกสลัดฝาครอบ" เกรย์ต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเครื่องที่กำลังร่วงหล่นเป็นระยะทางกว่า 16,000 ฟุต ก่อนจะตัดสินใจสละเครื่องและกระโดดร่มออกมาได้อย่างหวุดหวิด ทิ้งให้เครื่องต้นแบบลำแรกลงไปสร้างหลุมไฟอยู่บนพื้นดิน

4. ประเด็นน่าสนใจที่ เครื่องต้นแบบ 2 ใน 3 ลำตก และหนึ่งในนั้นจบลงด้วยโศกนาฏกรรมต่อหน้าสาธารณชน
สถิติความสูญเสียที่ยืนยันความล้มเหลวของโครงการ
ชะตากรรมของเครื่องต้นแบบทั้งสามลำเป็นเครื่องยืนยันถึงความอันตรายของ XP-55 ได้เป็นอย่างดี:
• ลำแรก (42-78845): ตกขณะทำการทดสอบอาการ Stall ในปี 1943 นักบินรอดชีวิตมาได้
• ลำที่สอง (42-78846): เป็นลำเดียวที่รอดชีวิตจากการทดสอบทั้งหมด ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Air Zoo ในเมืองคาลามาซู รัฐมิชิแกน
• ลำที่สาม (42-78847): ตกในวันที่ 27 พฤษภาคม 1945 ระหว่างการแสดงทางอากาศที่ Wright Field ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมาก

โศกนาฏกรรมครั้งที่สองเกิดขึ้นอย่างน่าสลดใจ นักบิน วิลเลียม ซี. กลาสโกว์ พยายามทำการม้วนตัวช้าๆ (slow roll) ที่ระดับความสูงต่ำ แต่เครื่องบินกลับสูญเสียแรงยกและเข้าสู่ภาวะ Stall อย่างกะทันหัน เครื่องได้ตกลงมากระแทกพื้น ส่งเศษซากที่ลุกเป็นไฟพุ่งเข้าไปในกลุ่มรถยนต์ของพลเรือนที่จอดอยู่ริมถนนใกล้สนามบิน เหตุการณ์ครั้งนี้คร่าชีวิตนักบินและพลเรือนบนพื้นดินอีก 4 ราย

5. ประเด็นน่าสนใจที่ ความล้มเหลวที่ปูทางไปสู่อนาคต
บทเรียนราคาแพงที่ไม่ได้สูญเปล่า
ในท้ายที่สุด โครงการ XP-55 ก็ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการ เหตุผลนั้นชัดเจน: สมรรถนะโดยรวมของมันด้อยกว่าเครื่องบินรบธรรมดาๆ อย่าง P-51 Mustang, มันอันตรายเกินกว่าจะใช้งานได้จริง และที่สำคัญที่สุด ในขณะที่ Ascender กำลังดิ้นรนเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานของตัวเอง เทคโนโลยีใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นและจะทำให้เครื่องบินใบพัดทุกลำกลายเป็นของล้าสมัย... "ยุคของเครื่องบินเจ็ตได้มาถึงแล้ว" โครงการนี้จึงไม่ได้เป็นแค่ความล้มเหลวทางการออกแบบ แต่มันยังถูก "กาลเวลาแซงหน้าไป" อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวของ Ascender ก็ไม่ได้ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง มันไม่ได้เป็นเพียงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของ "สามทหารเสือแห่งเครื่องบินรบแหวกแนว" ที่เกิดจากข้อเสนอ R-40C ร่วมกับ Vultee XP-54 และ Northrop XP-56 ซึ่งทั้งสองโครงการก็ล้มเหลวเช่นกัน โครงการเหล่านี้ได้มอบบทเรียนสำคัญแก่วงการบิน:
• ข้อมูลเชิงลึกด้านอากาศพลศาสตร์: มันให้ข้อมูลที่ล้ำค่าเกี่ยวกับพฤติกรรมของเครื่องบินแบบ Canard และ Pusher โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะการบินที่ไม่เสถียร
• ข้อจำกัดของระบบควบคุมแบบดั้งเดิม: Ascender ได้แสดงให้เห็นอย่างเจ็บปวดว่าปฏิกิริยาตอบสนองของนักบินมนุษย์นั้นไม่เร็วพอที่จะควบคุมเครื่องบินที่ไม่เสถียรโดยเนื้อแท้เช่นนี้ได้ ซึ่งเป็นบทเรียนที่พิสูจน์ว่าคอมพิวเตอร์จะเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดการความคล่องตัวของเครื่องบินในอนาคตอย่างปลอดภัย และนำไปสู่การพัฒนาระบบควบคุมการบินด้วยคอมพิวเตอร์ (fly-by-wire) ในเครื่องบินรบรุ่นหลังๆ อย่าง Eurofighter Typhoon และ Saab Gripen

6. บทสรุป
เรื่องราวของ Curtiss-Wright XP-55 Ascender คือตัวอย่างที่ชัดเจนของความทะเยอทะยานทางวิศวกรรมที่กล้าท้าทายขนบธรรมเนียม มันคือความพยายามที่จะก้าวกระโดดไปสู่อนาคต แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อข้อจำกัดทางเทคโนโลยีในยุคนั้นและความจริงอันโหดร้ายของสนามรบที่ต้องการอาวุธที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่การทดลองที่เสี่ยงภัย
มันคือเครื่องบินที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อบินไปข้างหน้า แต่กลับมีรูปลักษณ์ที่เหมือนบินถอยหลัง เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าที่จะล้มเหลวเพื่อเรียนรู้ และได้ทิ้งมรดกที่สำคัญไว้เบื้องหลัง ถึงแม้ว่าชื่อของมันจะไม่ได้ถูกจารึกไว้ในฐานะผู้ชนะสงครามก็ตาม
คุณคิดว่า XP-55 Ascender เป็นเพียงความผิดพลาดราคาแพงที่สิ้นเปลืองทรัพยากรในช่วงสงคราม หรือเป็นความล้มเหลวที่จำเป็นซึ่งได้มอบบทเรียนสำคัญแก่อนาคตของการบิน?

https://youtu.be/u5BnWF9wXcw

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ย้อนรำลึกเรื่องราวสะเทือนขวัญของการจารกรรมที่ล้มเหลวของเกาหลีเหนือ