F4F Wildcat เครื่องบินรบจอมอึดที่ไม่ได้เก่งที่สุด แต่พลิกเกมสงครามแปซิฟิก
F4F Wildcat เครื่องบินรบจอมอึดที่ไม่ได้เก่งที่สุด แต่พลิกเกมสงครามแปซิฟิก
1.0 บทนำ: วีรบุรุษที่ถูกลืมแห่งท้องฟ้าแปซิฟิก
เมื่อพูดถึงเครื่องบินรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายคนมักจะนึกถึงชื่อของ Mitsubishi Zero, Spitfire หรือ Mustang ซึ่งเป็นเครื่องบินระดับตำนานที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่มีเครื่องบินรบอีกรุ่นหนึ่งที่มักถูกมองข้าม ทั้งที่มันคือกระดูกสันหลังของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังที่สุดของสงครามแปซิฟิก นั่นคือ Grumman F4F Wildcat
Wildcat ไม่ใช่เครื่องบินที่เร็วที่สุดหรือคล่องแคล่วที่สุด แต่มันคือเครื่องบินที่ยืนหยัดต่อสู้ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด มันคือเครื่องบินของเหล่านักบินผู้กล้าหาญที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เหนือกว่า บทความนี้จะพาไปสำรวจ 5 ความจริงที่น่าทึ่งซึ่งทำให้เครื่องบินรบที่เป็นมวยรองลำนี้กลายเป็นตำนานที่ควรค่าแก่การจดจำ
2.0 เรื่องจริงข้อที่ 1: มันด้อยกว่าคู่แข่งหลักอย่างน่าตกใจ
หนึ่งในความจริงที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ F4F Wildcat มีสมรรถนะด้อยกว่าคู่แข่งหลักอย่าง Mitsubishi A6M Zero ในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว ความคล่องตัว หรืออัตราการไต่ระดับที่ล้วนเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด ความเสียเปรียบนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากในหมู่นักบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ต้องนำเครื่องบินที่เป็นรองเข้าต่อสู้
ความคับข้องใจของเหล่านักบินสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในรายงานของนาวาโท เจมส์ "จิมมี่" ธัช หนึ่งในนักบินหัวกะทิของกองทัพเรือ
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่นักบินของเราคนใดคนหนึ่งสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ ความสำเร็จใดๆ ก็ตามที่นักบินขับไล่ของเราอาจมีเหนือเครื่องบินซีโร่ของญี่ปุ่นนั้น ไม่ได้มาจากสมรรถนะของเครื่องบินที่เราขับ แต่เป็นผลมาจากความแม่นยำในการยิงที่ค่อนข้างต่ำของญี่ปุ่น ความผิดพลาดโง่ๆ ของนักบินญี่ปุ่นบางคน และความแม่นยำที่เหนือกว่ากับการทำงานเป็นทีมของนักบินเราบางคน เครื่องบิน F4F นั้นด้อยกว่าอย่างน่าสมเพชทั้งในด้านการไต่ระดับ ความคล่องแคล่ว และความเร็ว
3.0 เรื่องจริงข้อที่ 2: อาวุธลับของมันคือความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เหนือกว่าและดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีทางชนะ สิ่งที่ช่วยชีวิตนักบิน Wildcat ไว้ได้กลับไม่ใช่ความเร็ว แต่เป็นความแข็งแกร่งทนทานล้วนๆ แม้จะด้อยกว่าในด้านสมรรถนะ แต่ Wildcat ก็มีไพ่ตายที่สำคัญที่สุด นั่นคือความทนทานอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งทำให้เครื่องบินของบริษัท Grumman ได้รับฉายาว่า "Grumman Iron Works" (โรงงานเหล็กกรัมแมน)
นี่คือปรัชญาการออกแบบที่ชาญฉลาด Wildcat ถูกสร้างขึ้นพร้อมเกราะที่ค่อนข้างหนาและถังเชื้อเพลิงที่สามารถซีลตัวเองได้เมื่อถูกยิง ทำให้มันสามารถทนทานต่อความเสียหายมหาศาลที่อาจทำลายเครื่องบินซีโร่ของญี่ปุ่นซึ่งมีน้ำหนักเบาและไม่มีเกราะป้องกันให้กลายเป็นลูกไฟได้ในพริบตา และบ่อยครั้งก็พานักบินกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
ซาบุโระ ซาไก หนึ่งในนักบินระดับตำนานของญี่ปุ่น ได้บันทึกประสบการณ์ที่เขาต้องเผชิญกับความอึดของ Wildcat ไว้อย่างชัดเจน
ผมมั่นใจเต็มเปี่ยมในความสามารถที่จะทำลายเครื่องบินกรัมแมนลำนั้น และตัดสินใจที่จะจัดการเครื่องบินขับไล่ของศัตรูด้วยปืนกล 7.7 มม. ของผมเท่านั้น ผมปิดสวิตช์ปืนใหญ่ 20 มม. และเคลื่อนเข้าไปใกล้ แต่ด้วยเหตุผลประหลาดบางอย่าง แม้ว่าผมจะสาดกระสุนประมาณห้าร้อยหรือหกร้อยนัดเข้าไปที่เครื่องบินกรัมแมนโดยตรง เครื่องบินลำนั้นก็ไม่ร่วงลงมา แต่ยังคงบินต่อไป ผมคิดว่ามันแปลกมาก—ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก่อน—และผมก็ลดระยะห่างระหว่างเครื่องบินทั้งสองลำจนแทบจะเอื้อมมือไปแตะเครื่องบินกรัมแมนได้ และที่น่าประหลาดใจคือ หางเสือและส่วนท้ายของเครื่องบินกรัมแมนนั้นฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ดูเหมือนเศษผ้าขี้ริ้วเก่าๆ... ถ้าเป็นเครื่องบินซีโร่ที่โดนกระสุนมากขนาดนั้นคงกลายเป็นลูกไฟไปแล้ว
4.0 เรื่องจริงข้อที่ 3: นักบินคิดค้นยุทธวิธีอัจฉริยะเพื่อเอาตัวรอด
เพื่อชดเชยข้อด้อยด้านสมรรถนะของ Wildcat นักบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ นามว่า จอห์น "จิมมี่" ธัช ได้พัฒนายุทธวิธีการรบทางอากาศรูปแบบใหม่ที่ปฏิวัติวงการ ยุทธวิธีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องเรียน แต่ถือกำเนิดขึ้นจากความคิดของนักบินผู้หนึ่งที่จ้องมองไปยังความพ่ายแพ้ที่รออยู่เบื้องหน้า หลังจากที่ธัชได้ศึกษาข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับสมรรถนะอันน่าทึ่งของเครื่องซีโร่ เขารู้ดีว่าจำเป็นต้องมี "ตัวถ่วงดุล" อย่างเร่งด่วน
ท้องฟ้าเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกกลายเป็นห้องทดลองของธัช เขาได้พัฒนายุทธวิธีที่เรียกว่า "Thach Weave" (การสานของธัช) และได้ทดสอบมันกับ เอ็ดเวิร์ด "บุทช์" โอแฮร์ คู่หูของเขา ในการซ้อมรบจำลอง ธัชได้จำกัดกำลังเครื่องยนต์ของฝูงบินตนเองเพื่อเลียนแบบข้อเสียเปรียบของ Wildcat ในขณะที่ฝูงบินของโอแฮร์ได้ใช้กำลังเครื่องเต็มที่เพื่อจำลองสมรรถนะที่เหนือกว่าของซีโร่
หลักการของมันเรียบง่ายแต่อัจฉริยะอย่างยิ่ง เมื่อ Wildcat ลำหนึ่งถูกศัตรูไล่ตามจากด้านหลัง มันและคู่หูจะหักเลี้ยวเข้าหากันทันที การเคลื่อนไหวนี้จะบีบให้เครื่องบินข้าศึกที่ไล่ตามมาต้องตกเป็นเป้าของ Wildcat อีกลำหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว มันคือการเปลี่ยนผู้ล่าให้กลายเป็นผู้ถูกล่าในพริบตา และผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าทึ่ง หลังจากสิ้นสุดการซ้อมรบ โอแฮร์ได้วิทยุกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจว่า "ผู้การครับ มันได้ผล! ผมไม่สามารถเข้าโจมตีได้เลยโดยที่ไม่เห็นจมูกเครื่องบินลำใดลำหนึ่งของคุณหันมาจ่อหน้าผม"
5.0 เรื่องจริงข้อที่ 4: การขับมันคือการออกกำลังกาย
หนึ่งในคุณสมบัติที่น่าประหลาดใจและไม่น่าพิสมัยที่สุดของ Wildcat คือระบบฐานล้อแบบแมนนวล นักบินจะต้องใช้มือหมุนคันหมุนประมาณ 29 ถึง 30 ครั้งเพื่อกางหรือเก็บล้อ แต่นี่ไม่ใช่แค่ความไม่สะดวกสบาย มันยังเป็นความเสี่ยงทางกายภาพอีกด้วย การหมุนคันบังคับต้องใช้แรงกดและแรงบิดอย่างมหาศาล ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงที่มือหรือข้อมือได้หากไม่ระมัดระวัง
รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้สะท้อนปรัชญาการออกแบบของ Wildcat ได้เป็นอย่างดี นั่นคือความเรียบง่าย ทนทาน และไม่มีอุปกรณ์หรูหราที่ไม่จำเป็น ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความทนทานในสนามรบอย่างแท้จริง
6.0 เรื่องจริงข้อที่ 5: ชัยชนะครั้งแรกในสงครามไม่ใช่ของสหรัฐฯ
เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่การต่อสู้ครั้งแรกของ Wildcat ไม่ได้เกิดขึ้นภายใต้ธงของสหรัฐอเมริกา แต่เป็นของกองทัพเรืออังกฤษ (Royal Navy) ซึ่งเรียกมันในชื่อ "Martlet" โดยเครื่องบินรุ่นนี้เข้าประจำการกับอังกฤษก่อนที่สหรัฐฯ จะเข้าร่วมสงครามอย่างเป็นทางการเสียอีก
ในวันคริสต์มาส ปี 1940 เกือบหนึ่งปีก่อนการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เครื่องบิน Martlet ของอังกฤษได้ยิงเครื่องบินทิ้งระเบิด Ju 88 ของเยอรมนีตกเหนือฐานทัพเรือสกาปาโฟลว์ เหตุการณ์นี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง เพราะมันคือชัยชนะในสงครามครั้งแรกของเครื่องบินรบที่สร้างโดยสหรัฐฯ ซึ่งประจำการอยู่ในกองทัพอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
7.0 บทสรุป: ตำนานแห่งความทรหด
เรื่องราวของ F4F Wildcat ไม่ใช่เรื่องราวของเครื่องบินที่ "ดีที่สุด" แต่มันคือตำนานที่พิสูจน์ให้เห็นว่าความแข็งแกร่งทนทาน เมื่อรวมกับความฉลาดหลักแหลมและความกล้าหาญของนักบิน สามารถสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้ Wildcat คือเครื่องบินที่กองทัพอเมริกาต้องการอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่คับขันที่สุดของประวัติศาสตร์ และมันก็ได้ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในประวัติศาสตร์ของความขัดแย้ง คุณเชื่อว่าสิ่งใดสำคัญกว่ากันระหว่างความเหนือกว่าของเทคโนโลยี หรือจิตวิญญาณของผู้ที่ใช้งานมัน?
https://youtu.be/IpQlRx5vR5M

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น