XB-70 Valkyrie ยักษ์ใหญ่ Mach 3 ที่ไม่ได้แค่บิน แต่ "โต้คลื่น" บนฟ้า

 XB-70 Valkyrie ยักษ์ใหญ่ Mach 3 ที่ไม่ได้แค่บิน แต่ "โต้คลื่น" บนฟ้า



นับตั้งแต่อดีต มนุษยชาติเฝ้าฝันถึงการทะยานไปให้สูงขึ้นและเร็วขึ้นเสมอมา ความฝันนั้นปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนที่สุดในยุคสงรามเย็น ช่วงเวลาแห่งการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่ผลักดันขีดจำกัดของวิศวกรรมการบินไปสู่จุดสูงสุด และในบรรดาอากาศยานทดลองอันน่าทึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคนั้น ไม่มีลำใดจะยิ่งใหญ่และเป็นตำนานได้เท่ากับ North American XB-70 Valkyrie เครื่องบินทิ้งระเบิดความเร็วเหนือเสียงที่งามสง่าดุจเทพธิดาในตำนานนอร์ส

ทว่าเบื้องหลังความเร็วระดับ 3 เท่าของเสียงและความสามารถในการบินที่ระดับความสูง 70,000 ฟุต XB-70 Valkyrie ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องบินที่เร็วที่สุดในยุคของมัน แต่ยังเป็นแหล่งรวมของเรื่องราวที่น่าประหลาดใจ ขัดกับความคาดหมาย และเต็มไปด้วยบทเรียนราคาแพง มันคืออากาศยานที่ประสบความสำเร็จทางเทคนิคอย่างงดงาม แต่กลับไม่เคยได้เข้าประจำการเลยแม้แต่ลำเดียว
ในบทความนี้ เราจะไม่ได้มาเล่าประวัติศาสตร์ทั่วไปของมัน แต่จะเจาะลึกไปถึง 5 เกร็ดความรู้ที่น่าทึ่งและขัดกับสัญชาตญาณที่สุดเกี่ยวกับยักษ์ใหญ่สีขาวลำนี้ ที่จะเปลี่ยนมุมมองที่คุณมีต่อหนึ่งในอากาศยานที่ล้ำยุคที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา

เกร็ดความรู้ที่น่าทึ่งเกี่ยวกับ XB-70 Valkyrie
มันไม่ได้บิน แต่ "โต้คลื่น" บนคลื่นกระแทกของตัวเอง
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Valkyrie สามารถทำความเร็วได้ถึง Mach 3 ไม่ได้มาจากกำลังเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว แต่มาจากแนวคิดทางวิศวกรรมอันชาญฉลาดที่เรียกว่า "Compression Lift" หรือแรงยกจากการอัดตัวของอากาศ ที่จริงแล้ว มันทำได้เกินความคาดหมาย โดยไปถึงความเร็ว Mach 3.2 ในระหว่างการทดสอบ พูดง่ายๆ คือ ที่ความเร็วเหนือเสียง ปลายปีกของ XB-70 จะสามารถพับลงได้ ซึ่งการออกแบบนี้จะทำหน้าที่เหมือนกำแพงกักคลื่นกระแทก (Shockwave) ที่เกิดจากตัวเครื่องบินเองไว้ใต้ท้องเครื่อง

ปรากฏการณ์นี้สามารถเปรียบเทียบได้กับการที่เรือแคนู "ขี่อยู่บนยอดคลื่น" (riding on a crest) ของตัวเอง แทนที่จะปล่อยให้อากาศที่ถูกบีบอัดอย่างมหาศาลกระจายออกไปด้านข้างอย่างไร้ประโยชน์ Valkyrie กลับใช้มันสร้างแรงยกเพิ่มเติม ทำให้เครื่องบิน "โต้คลื่น" ที่ตัวเองสร้างขึ้นไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือนวัตกรรมที่เป็นหัวใจสำคัญของสมรรถนะอันน่าทึ่งของมัน

โครงการถูกยกเลิกไม่ใช่เพราะล้มเหลว แต่เพราะการเมืองและขีปนาวุธ
แม้ XB-70 จะเป็นความสำเร็จทางเทคโนโลยีอย่างไม่มีข้อกังขา แต่มันกลับกลายเป็น "เป้าโจมตีโปรด" ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นอย่าง Robert McNamara เหตุผลหลักไม่ใช่เพราะตัวเครื่องบินมีปัญหา แต่เป็นเพราะภูมิทัศน์ทางยุทธศาสตร์ของสงครามเย็นกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
McNamara เชื่อว่ายุคของเครื่องบินทิ้งระเบิดความเร็วสูงที่บินสูงกำลังจะสิ้นสุดลง ด้วยการมาถึงของขีปนาวุธข้ามทวีป (Intercontinental Ballistic Missiles หรือ ICBMs) ซึ่งมีราคาถูกกว่า ตอบโต้ได้ยากกว่า และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยุดยั้ง ดังนั้น Valkyrie จึงกลายเป็นเหยื่อของการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ ไม่ใช่เพราะความล้มเหลวของโครงการ แต่มันคือเครื่องจักรที่สมบูรณ์แบบซึ่งถูกสร้างขึ้นมาผิดยุคผิดสมัย

ปัญหาง่ายๆ อย่าง "น้ำมันรั่ว" ทำให้โครงการล่าช้าไปหนึ่งปีเต็ม
เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่อากาศยานที่ล้ำยุคที่สุดในโลก กลับต้องมาสะดุดกับปัญหาพื้นฐานที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นคือการรั่วซึมของเชื้อเพลิง ด้วยขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารของถังเชื้อเพลิง การซีลมันให้สมบูรณ์แบบจึงเป็นภารกิจที่ "แทบจะเป็นไปไม่ได้" และกลายเป็นฝันร้ายของทีมวิศวกร

ความล่าช้าที่เกิดขึ้นนานถึงหนึ่งปีเต็มไม่ได้มาจากความซับซ้อนทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากความผิดพลาดของมนุษย์อีกด้วย ดังที่มีการบันทึกไว้ว่า "ตัวตลกบางคนไม่ใส่รองเท้าบูทผ้าใบเดินข้ามมันและทำให้มันฉีกขาด" ทำให้ต้องเริ่มกระบวนการซ่อมแซมและเคลือบผิวที่ใช้เวลานานใหม่อีกครั้ง เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้ในโครงการที่มีเทคโนโลยีสูงที่สุด ปัญหาที่ดูเหมือนเล็กน้อยก็สามารถสร้างอุปสรรคที่ใหญ่หลวงจนคาดไม่ถึงได้

เรื่องตลกร้าย: ระบบทิ้งระเบิดพร้อมแล้ว แต่เครื่องบินที่จะติดตั้งกลับถูกยกเลิก
ในประวัติศาสตร์การพัฒนาอากาศยานของกองทัพ เป็นที่รู้กันดีว่าระบบอิเล็กทรอนิกส์การบินและระบบอาวุธมักจะเป็นส่วนประกอบที่ล่าช้าที่สุดเสมอ โดยปกติจะช้ากว่ากำหนดหนึ่งหรือสองปี เครื่องบินมักจะสร้างเสร็จและจอดรออยู่บนลานบินเพื่อรอระบบที่ยังพัฒนาไม่เสร็จ แต่สำหรับ XB-70 ทุกอย่างกลับตาลปัตรอย่างน่าขัน

"ในกรณีของ B-70 ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า ระบบนำทางและการทิ้งระเบิดพร้อมสำหรับการติดตั้งแล้ว แต่เครื่องบินลำที่จะใช้ติดตั้งมันกลับถูกยกเลิกไปเสียก่อน"

เครื่องบิน Valkyrie ลำที่สาม ซึ่งควรจะเป็นรุ่นที่สมบูรณ์แบบพร้อมระบบทิ้งระเบิด ถูกยกเลิกโครงการไปทั้งที่สร้างเสร็จแล้วประมาณ 75% นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของความโกลาหลและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นกับโครงการในช่วงท้าย

มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมัน คือเครื่องบินขับไล่ของโซเวียตที่สร้างขึ้นมาเพื่อทำลายมัน
แม้ Valkyrie จะไม่เคยเข้าประจำการ แต่มันกลับทิ้งอิทธิพลมหาศาลไว้บนหน้าประวัติศาสตร์การบิน... ของฝ่ายตรงข้าม สหภาพโซเวียตหวาดกลัวศักยภาพของ XB-70 มากเสียจนต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อพัฒนาเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงขึ้นมาเพื่อรับมือกับมันโดยเฉพาะ เครื่องบินลำนั้นคือ MiG-25 Foxbat
ภารกิจหลักเพียงหนึ่งเดียวของ Foxbat คือการสกัดกั้นและทำลายเครื่องบินทิ้งระเบิดความเร็วเหนือเสียงที่บินสูงของสหรัฐฯ ซึ่งก็คือ Valkyrie นั่นเอง นับเป็นเรื่องย้อนแย้งอย่างที่สุด ที่อากาศยานซึ่งไม่เคยถูกใช้งานจริง กลับกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่กระตุ้นให้ศัตรูในสงครามเย็นต้องพัฒนาหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่น่าเกรงขามที่สุดในประวัติศาสตร์ขึ้นมา

บทสรุป
XB-70 Valkyrie ยังคงเป็นดั่งวิญญาณทรงพลังในประวัติศาสตร์การบิน—เครื่องจักรที่น่าเกรงขามจนมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันไม่ใช่ภารกิจที่มันได้บิน แต่เป็นเครื่องบินข้าศึกที่มันบีบให้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยที่ตัวเองไม่เคยได้เข้าประจำการเลย เราคงได้แต่สงสัยว่า: หากวันนั้นรัฐมนตรี McNamara ให้ความสำคัญกับความเหนือกว่าทางเทคโนโลยีมากกว่ากลยุทธ์ด้านงบประมาณ MiG-25 จะเป็นคู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวของมัน หรือท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยยักษ์ใหญ่ Mach 3 รุ่นใหม่ ที่จะเปลี่ยนเส้นทางประวัติศาสตร์ของการบินความเร็วเหนือเสียงไปตลอดกาล?

https://www.youtube.com/watch?v=E3whCugshcw

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กองทัพอากาศไทยจะทดสอบ Gripen ขึ้น ลงบนถนนหลวง ภายในเดือน ก.พ. 2568

ไฟเขียว ทอ. เลือก Gripen ไม่เกินสิ้นปี 2568 ภายในเดือน ก.พ. จะทดสอบ Gripen บินขึ้น-ลงบนถนนหลวง

จรวดของไทยที่ถูกลืม "เห่าฟ้า ธนูฟ้า"