F-106 Delta Dart สัญลักษณ์แห่งการป้องปรามในยุคสงครามเย็น

  F-106 Delta Dart สัญลักษณ์แห่งการป้องปรามในยุคสงครามเย็น


ในยุคสงครามเย็นที่โลกถูกแบ่งเป็นสองขั้วและการแข่งขันทางเทคโนโลยีการบินพุ่งถึงขีดสุด Convair F-106 Delta Dart ได้ถือกำเนิดขึ้นในฐานะ "สุดยอดเครื่องบินสกัดกั้น" (Ultimate Interceptor) ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ด้วยรูปทรงสามเหลี่ยมเดลต้าที่โฉบเฉี่ยวและสมรรถนะความเร็วเหนือเสียงระดับมัค 2 มันคือสัญลักษณ์แห่งความทะเยอทะยานทางวิศวกรรมที่น่าเกรงขาม ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นปราการด่านสุดท้ายในการป้องกันทวีปอเมริกาเหนือ
แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์ของเครื่องบินรบที่สมบูรณ์แบบนี้ กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าประหลาดใจ ขัดแย้ง และคาดไม่ถึงมากมาย มันคือภาพสะท้อนของยุคสมัยแห่งความสุดขั้ว ทั้งความเสี่ยงมหาศาล และผลลัพธ์ที่เหนือจินตนาการ
บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ 5 เรื่องจริงที่น่าทึ่งที่สุดเกี่ยวกับเครื่องบิน F-106 Delta Dart ที่จะทำให้คุณมองเครื่องจักรสงครามในตำนานลำนี้ในมุมมองใหม่ไปตลอดกาล
1. "เครื่องบินทิ้งระเบิดในไร่ข้าวโพด": เครื่องบินที่ลงจอดด้วยตัวเอง นี่คือหนึ่งในเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อและเหนือจริงที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1970 กัปตัน แกรี่ เฟาสท์ (Captain Gary Foust) นักบินจากฝูงบินขับไล่สกัดกั้นที่ 71 กำลังฝึกซ้อมการรบกลางอากาศเหนือท้องฟ้ามอนแทนา แต่แล้วเครื่องบิน F-106 ของเขาก็เสียการควบคุมและเข้าสู่สภาวะหมุนควงแบบแบน (flat spin) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อันตรายและแทบไม่มีทางแก้ไขได้
หลังจากพยายามอย่างสุดความสามารถ กัปตันเฟาสท์ก็ตัดสินใจทำตามขั้นตอนฉุกเฉินและดีดตัวออกจากเครื่องบินเพื่อรักษาชีวิต แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น ทันทีที่แรงระเบิดส่งตัวนักบินและฝาครอบห้องนักบินหลุดออกไป สมดุลของเครื่องบิน F-106 ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน มันค่อยๆ หยุดการหมุนควงและกลับมาทรงตัวได้เองกลางอากาศ จากนั้นจึงเริ่มร่อนลงอย่างนุ่มนวลสู่พื้นดินเบื้องล่าง เครื่องบินลำนั้นลงจอดแบบเอาท้องลง (belly land) อย่างสมบูรณ์แบบบนทุ่งที่ปกคลุมด้วยหิมะ โดยได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย มันจึงได้รับฉายาในตำนานว่า "The Cornfield Bomber" (เครื่องบินทิ้งระเบิดในไร่ข้าวโพด) อย่างน่าทึ่ง มันถูกซ่อมแซมและนำกลับเข้าประจำการอีกครั้ง จนกระทั่งปลดระวางและถูกนำไปจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของกองทัพอากาศสหรัฐฯ จวบจนปัจจุบัน เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเสถียรในการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์อันน่าทึ่งของเครื่องบินรุ่นนี้อย่างไม่มีข้อกังขา
2. เก้าอี้ดีดตัวมรณะ: ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความเร็วเหนือเสียง แม้ F-106 จะมีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม แต่มันกลับมีจุดเริ่มต้นที่มืดมนและต้องแลกมาด้วยชีวิต ในช่วงแรกของการนำเข้าประจำการ ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือระบบเก้าอี้ดีดตัว ข้อมูลที่น่าตกใจระบุว่า เก้าอี้ดีดตัวรุ่นแรก (Weber interim seat) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของนักบินถึง 12 คนแรกที่พยายามดีดตัวออกจากเครื่องบิน เนื่องจากมันมีข้อจำกัดร้ายแรง ไม่สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยที่ความเร็วเหนือเสียง, ที่ระดับพื้นดิน, หรือที่ความเร็วต่ำกว่า 120 น็อต
นี่คือราคาที่ต้องจ่ายอย่างแสนสาหัสในการแข่งขันเพื่อความเป็นเจ้าแห่งความเร็วเหนือเสียง วิศวกรของ Convair จึงพัฒนาระบบที่ซับซ้อนขึ้นอย่าง Convair B-seat ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น "บ็อบสเลดความเร็วเหนือเสียง" (supersonic "bobsled") แนวคิดเบื้องหลังคือการแก้ปัญหาแรง G มหาศาลขณะดีดตัวด้วยความเร็วสูง โดยออกแบบให้เก้าอี้ดีดตัวขึ้นในมุม 90 องศา ทำให้นักบินอยู่ในท่านอนหงาย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ร่างกายมนุษย์ทนต่อแรง G ได้ดีที่สุด การพัฒนานี้ต้องผ่านการทดสอบอย่างสุดขั้ว ตั้งแต่แบบจำลองขนาด 1/10 ในอุโมงค์ลม ไปจนถึงการทดสอบขนาดจริงบนรางจรวดที่เฮอร์ริเคนเมซา รัฐยูทาห์ ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 858 น็อต

ท้ายที่สุด หลังปี 1965 เครื่องบิน F-106 ทั้งหมดจึงได้รับการติดตั้งเก้าอี้รุ่นใหม่ Weber Zero-Zero ROCAT ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและเชื่อถือได้มากขึ้น เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้อันดุเดือดของวิศวกรที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิตนักบิน เพื่อบุกเบิกเทคโนโลยีการบินที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคสงครามเย็น
3. เครื่องบินล่อฟ้าของ NASA: ภารกิจท้าทายสายฟ้า หลังจากปลดประจำการจากกองทัพอากาศ F-106 ไม่ได้ถูกส่งไปเก็บเพียงอย่างเดียว เครื่องบินบางส่วนได้รับชีวิตใหม่ในฐานะเครื่องบินวิจัยของ NASA จนถึงปี 1998 และหนึ่งในภารกิจที่โดดเด่นที่สุดคือการดัดแปลงเครื่องบิน F-106B สองที่นั่งให้กลายเป็น "เครื่องบินล่อฟ้า" (Lightning Strike Plane) เพื่อศึกษาผลกระทบของฟ้าผ่าที่มีต่ออากาศยาน
ในภารกิจนี้ นักบินจะบังคับเครื่องบินที่ความเร็วต่ำกว่าเสียง (ราว 300 น็อต) ที่ระดับความสูงระหว่าง 5,000 ถึง 40,000 ฟุต บินตรงเข้าสู่ใจกลางพายุฝนฟ้าคะนองโดยเจตนา ข้อมูลจากโครงการนี้น่าทึ่งอย่างยิ่ง: • เครื่องบินลำนี้ถูกฟ้าผ่าโดยเจตนาถึง 714 ครั้ง ตลอดโครงการ โดยไม่ได้รับความเสียหายรุนแรง • ในเที่ยวบินหนึ่งที่กินเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ณ ความสูง 38,000 ฟุต มันถูกฟ้าผ่ามากถึง 72 ครั้ง!
เพื่อทำภารกิจสุดขั้วนี้ ทีมวิศวกรได้ดัดแปลงส่วนจมูกของเครื่องบิน (radome) จากวัสดุคอมโพสิตให้เป็นโลหะเพื่อนำไฟฟ้า ภารกิจนี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความทนทานอย่างเหลือเชื่อของโครงสร้างเครื่องบิน F-106 แต่ยังให้ข้อมูลล้ำค่าที่ช่วยพัฒนาระบบป้องกันฟ้าผ่าและความปลอดภัยทางการบินมาจนถึงทุกวันนี้
4. สุดยอดเครื่องบินสกัดกั้นที่ไม่เคยได้รบ F-106 Delta Dart ถูกออกแบบและสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวที่ชัดเจน นั่นคือการเป็น "สุดยอดเครื่องบินสกัดกั้น" มันคือปราการด่านสุดท้ายของอเมริกาเหนือในการป้องกันการโจมตีจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของโซเวียตตลอดช่วงสงครามเย็น ในหมู่นักบิน มันไม่ค่อยถูกเรียกว่า Delta Dart แต่เป็นที่รู้จักกันในชื่อเล่นว่า "The Six" มันประจำการอยู่ทั่วทุกมุมโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา, อะแลสกา, ไอซ์แลนด์ และเคยถูกส่งไปประจำการช่วงสั้นๆ ในเยอรมนีและเกาหลีใต้
แต่เรื่องจริงที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ แม้จะมีบทบาทสำคัญและประจำการยาวนานหลายสิบปี The Six กลับไม่เคยเข้าสู่การรบจริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แม้จะเคยมีการพิจารณาให้นำไปใช้ในสงครามเวียดนาม แต่แผนนั้นก็ถูกยกเลิกไป และมันไม่เคยถูกส่งออกไปให้ประเทศพันธมิตรใช้งานเลย ในการประเมินเปรียบเทียบที่ชื่อว่าปฏิบัติการ Highspeed เครื่องบิน F-4 Phantom II ถูกตัดสินว่ามีความสามารถเหนือกว่าเล็กน้อย แต่เนื่องจาก F-4 เป็นที่ต้องการอย่างสูงในภารกิจอื่น F-106 จึงยังคงทำหน้าที่ป้องกันภัยทางอากาศต่อไปอีกหลายสิบปี เรื่องราวนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า บางครั้งเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาอย่างดีที่สุดสำหรับภารกิจเฉพาะทาง อาจไม่เคยได้ใช้งานตามวัตถุประสงค์หลักของมันเลยก็ได้
5. จากเครื่องบินรบสู่เป้าบินไร้คนขับ วงจรชีวิตของยุทโธปกรณ์ทางทหารมักจบลงในรูปแบบที่คาดไม่ถึง หลังจาก F-106 ถูกปลดประจำการในช่วงทศวรรษ 1980 เครื่องบินส่วนใหญ่ถูกส่งไปเก็บรักษาที่รัฐแอริโซนา แต่แล้วในปี 1986 โครงการ "Pacer Six" ก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยมีการนำเครื่องบิน F-106 จำนวน 194 ลำมาดัดแปลงเป็นเป้าบินควบคุมระยะไกล (target drones) และได้รับรหัสใหม่ว่า QF-106A
ความพิเศษของ QF-106 คือมันยังคงสามารถ "บินแบบมีนักบินควบคุมได้" สำหรับการเดินทางไปยังพื้นที่ทดสอบ ก่อนที่นักบินจะสละเครื่องและปล่อยให้มันถูกควบคุมจากระยะไกลเพื่อกลายเป็นเป้าสำหรับเครื่องบินรบและขีปนาวุธรุ่นใหม่ได้ฝึกซ้อมยิง การยิง QF-106 ลำสุดท้ายเกิดขึ้นในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1997 ก่อนที่โครงการจะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี 1998 ปิดฉากตำนานของเครื่องบินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสุดยอดเทคโนโลยี ด้วยการสละชีพเพื่อพัฒนานักบินรบรุ่นต่อไป
มรดกที่ขัดแย้งและน่าจดจำ เรื่องราวของ F-106 Delta Dart เป็นมากกว่าประวัติศาสตร์ของเครื่องบินรบความเร็วสูง มันเต็มไปด้วยความน่าทึ่ง ความขัดแย้ง และบทเรียนที่คาดไม่ถึง จากเครื่องบินที่ลงจอดเองได้ สู่เก้าอี้ดีดตัวมรณะ จากนักล่าสายฟ้าของ NASA สู่นักรบที่ไม่เคยได้สู้ และปิดท้ายด้วยการเป็นเป้าบินไร้คนขับ นี่คือมรดกที่ซับซ้อนและน่าจดจำอย่างแท้จริง
F-106 คือ "สุดยอดเครื่องบินสกัดกั้น" ที่ไม่เคยได้สกัดกั้นศัตรู, เป็นเครื่องล่อฟ้าให้กับวิทยาศาสตร์ และเคยทำหน้าที่เป็นนักบินของตัวเองในเที่ยวบินที่โด่งดังที่สุด อาชีพการงานที่แปลกประหลาดและขัดแย้งนี้บอกอะไรเราเกี่ยวกับธรรมชาติของเทคโนโลยีทางการทหาร ที่ซึ่งเครื่องมือที่ล้ำหน้าที่สุดมักจะเป็นสิ่งที่เราภาวนาว่าจะไม่ได้ใช้งานมันตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง?

https://youtu.be/7o8SSW3KRBI


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ย้อนรำลึกเรื่องราวสะเทือนขวัญของการจารกรรมที่ล้มเหลวของเกาหลีเหนือ